วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณได้รับชีวิตนิรันดร์หรือยัง?


   



พระคัมภีร์ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์อย่างชัดเจน อันดับแรกเราต้องทราบก่อนว่าเราได้กระทำบาปต่อพระเจ้า ในพระธรรม (โรม 3:23)ได้ เขียนไว้ว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราได้กระทำบาปหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย ซึ่งทำให้เราสมควรได้รับโทษของบาปนั้นและเนื่องจากความผิดบาปของเราเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่นิรันดร์ ดังนั้นการได้รับโทษจึงคงอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ พระธรรม (โรม 6:23) ได้เขียนไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากความบาปทั้งปวง พระธรรม (1 เปโตร 2:22) ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าซึ่งเสด็จลงมาเป็นมนุษย์ และได้สิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม5:8)และทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (ยอห์น 19:31-42) พระองค์ทรงรับโทษแทนเรา (2 โครินธ์ 5:21) และในวันที่สาม พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย (1โครินธ์ 15:1-4) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ ในพระธรรม (1 เปโตร 1:3) กล่าวว่า “ สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์” โดยทางความเชื่อ เราจึงต้องหันหลังให้กับความบาป และหันเข้าหาพระคริสต์เพื่อรับการไถ่ (กิจการ 3:19) หากเรามีความเชื่อในพระองค์ และไว้วางใจว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนเป็นการรับโทษความบาปแทนเรา เราก็จะได้รับการยกโทษ และได้รับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) “ คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ” (โรม 10:9) ทางที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือการมีความเชื่อในภารกิจของพระคริสต์บนไม้กางเขน! “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ ” (เอเฟซัส 2:8-9)

หากคุณต้องการต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและไว้วางใจในพระคริสต์เท่านั้น ที่ช่วยคุณให้รอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่มีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงไถ่คุณให้พ้นจากอำนาจบาป… “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรได้รับการลงโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการยกโทษโดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระคริสต์ ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจในพระองค์สำหรับการไถ่ข้าพเจ้าให้พ้นจากบาป ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”

พระเยซูทรงรักเด็กๆ

    ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยื่นท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า"ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลยเหตุฉะนันถ้าผู้ใด ถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึก็ดีกว่า" มีเด็กจำนวนมากถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรม อย่างเช่นการหากินกับเด็ก โสเภณีเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย การใช้แรงงานเด็ก นำเด็กไปขอทาน หรือการให้เด็กติดยาเสพติดแล้วใช้ให้ไปลักขโมย เป็นต้น มีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่อยู่กับพ่อแม่ มีบ้านมีอาหาร มีเสื้อผ้า แต่ขาดความรักการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ กลายเป็นผู้รองรับอารมณ์ร้าย ๆ ของผู้ใหญ่ถูกด่าว่า ข่มขู่ หรือแม้กระทั้งถูกตบตีอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ
            ผู้ใหญ่มักไม่ใส่ใจว่าเมื่อเขาทำร้ายเด็กแล้ว เด็กจะรู้สึกอย่างไร ? เจ็บปวดแค่ไหน ? เขาไม่สนใจเพราะเด็ก ๆ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากนัก แต่ใช่ว่าเด็กจะไม่มีความรู้สึกอย่างที่ผู้ใหญ่บางคนคิด แม้เด็กบางคนไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา แต่เขาจะจำใส่ใจไปอีกนานทีเดียว 
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์มีท่าทีต่อเด็ก ๆ อย่างไร เราสามารถพบคำตอบได้จากพระราชกิจ และคำสอนของพระเยซูคริสต์ดังที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 18 "ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใด ถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นนี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า"      ประการแรก พระเยซูรักเด็กเล็ก โดยใช้เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งเป็นตัวอย่างอธิบายเรื่องใหญ่ การมีสิทธิ์ได้เข้าสวรรค์เป็นเรื่องใหญ่ และใครจะเป็นใหญ่ในสวรรค์ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขาและสอนว่าต้องกลับใจใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ได้  เด็กเล็ก ๆ มีความรู้น้อย มีประสบการณ์ชีวิตน้อย มีความสามารถน้อย ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา หรือญาติพี่น้อง ทำให้เด็ก ๆ ให้ความวางใจแก่บุคคลเหล่านี้ พระเยซูเรียกร้องให้เรากลับใจใหม่ หันหลังให้ความบาป รู้จักไว้วางใจในพระเจ้ารู้จักพึ่งพาพระเจ้าด้วยสุดใจเหมือนเด็กเล็ก ๆ  ธรรมชาติของมนุษย์คือโอ้อวด มีความหยิ่งในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ ผลงาน ทรัพย์สมบัติหรือความดีเพื่อจะให้อยู่เหนือผู้อื่น แต่ในแผ่นดินสวรรค์ วิธีการดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลเพราะ พระเจ้าเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นในเวลาอันควร (1ปต.5:5-6)     ประการที่สอง พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ เพราะพระองค์ทรงสอนว่า "ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย" พระเยซูให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ โดยนำพระองค์เองเข้าผูกพันกับเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพวกเขา และปกป้องเขาถ้าผู้ใดรับเด็กเล็กเช่นนี้ครนหนึ่งก็เหมือนกับได้รับพระองค์ด้วย" แต่ถ้าทำร้ายเด็กเล็กเช่นนี้ให้หลงผิดด้วยว่า เขายังไร้เดียงสา หรืออ่อนแอ พระองค์ทรงคาดโทษผู้นั้นไว้อย่างรุนแรงทีเดียว ประการสุดท้าย พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ โดยทรงเตือนให้เรารู้ว่า ทูตสวรรค์ของพระองค์เฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ (มัทธิว 18:10)"  
   เด็ก ๆ มักจะถูกทำร้ายในที่ลับตาคน สำหรับพระเจ้าที่ลับตาก็เป็นที่แจ้ง กลางคืนก็สว่างอย่างกลางวัน พระองค์ทรงเห็นทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ทูตสวรรค์ของพระองค์กำลังเฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทุกคนจึงควรระวังตัวปฏิบัติต่อเด็กเล็ก ๆ ตามสมควรด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อสังคมของเรารักเด็กเล็ก ๆ และให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ ดังที่พระเยซูทรงสอนและปฏิบัติเป็นแบบอย่าง เด็ก ๆ ในสังคมของเราจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรักและรู้จักให้ความรักต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างผู้ที่อ่อนแอกว่า การเบียดเบียนซึ่งกันและกันในสังคมก็จะลดลง และแน่นอนปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ก็จะลดน้อยลงด้วย นำมาซึ่งความสงบสุขและความมั่นคงที่จะเกิดขึ้นในสังคมของเรา

ค่าจ้างของความบาปคือความตาย



หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว  มนุษย์กลับปฏิเสธพระองค์ 
พระเจ้าเปรียบเหมือนเจ้าของโรงงานวิทยุ  ที่เมื่อพบว่า  มีวิทยุเครื่องหนึ่ง  มันไม่ได้ตามมาตรฐานที่เจ้าของกำหนดไว้  แน่นอนเจ้าของโรงงานก็มีสิทธิ์ที่จะทำลายวิทยุเครื่องนั้น
เช่นเดียวกัน  พระเจ้าก็ทรงมีสิทธิ์ที่จะทำลายมนุษย์  และจริง ๆ แล้วพระเจ้าได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้แล้วว่า  จะมีการพิพากษาความผิดบาปของมนุษย์ทุกคน และพระองค์ก็ได้ทรงกำหนดวิถีทางแห่งมนุษย์ไว้แล้วว่า

"มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษา" (ฮีบรู9:27)

"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย" (โรม 6:23)

 ซึ่งความตายนี้  เป็นความตายครั้งที่สอง  นั่นคือ  ความตายใน "บึงไฟนรก"

"แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง" (วิวรณ์ 20:14)

ถ้าคุณอยากรู้ว่า  นรกหรือความตายครั้งที่สองนั้นเป็นอย่างไร  คุณก็ลองเอานิ้วชี้ทั้ง ข้างของคุณอุดหูทั้ง 2ข้างให้แน่น ๆ  แล้วหลับตา ข้าง  กลั้นลมหายใจ  และคิดว่าตัวเองอยู่ในไฟร้อน ๆ และกระหายน้ำมากสัก 15วินาที  ดูสิ  คุณก็จะรู้สึกว่า "อึดอัด"
นั่นแหละ  คือความรู้สึกในนรก  ไม่มีความสว่าง  ไม่มีน้ำ  มีแต่ไฟ  ซึ่งไม่ตาย  แค่อึดอัด  ซึ่งเป็นผลจากการกระทำบาปของมนุษย์
ผลของการไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นก็คือ  ความตายในบึงไฟนรกนี่เอง  และเขาจะต้องอยู่ในนรกเป็นนิจนิรันดร์  ซึ่งเป็นการพรากจากพระเจ้าเป็นนิตย์

"คนเหล่านั้นจะได้รับโทษ อันเป็นความพินาศนิรันดร์และพรากจากพระพักตร์พระเป็นเจ้า และจากพระสิริแห่งอานุภาพของพระองค์ ในวันนั้น" (2เธสะโลนิกา 1:9)

ถ้าคุณอยากรู้ว่านิจนิรันดร์นั้นยาวนานขนาดไหน  คุณก็ลองคิดดูสิครับว่า  ถ้าอีกาตัวหนึ่งมันจะคาบเม็ดทรายจากหาดทรายหัวหิน  บินไปเชี้ยงใหม่ครั้งละ เม็ด  มันจะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่  จึงจะขนทรายจากหัวหินไปเชียงใหม่ได้หมดทุกเม็ด
วันนั้น  วันที่พระเจ้าพิพากษามนุษย์  บาปที่มนุษย์กระทำทุกอย่างจะปรากฎออกมา

"เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร" (1โครินธ์ 4:5)

ไม่ว่าจะเป็นบาปในที่ลับหรือที่แจ้ง  บาปในความคิด  บาปที่กระทำออกมา  หรือความบาปที่มาจากการรู้ว่าสิ่งใดดีแต่ไม่อยากทำ
ทั้งหมดนี้  จะถูกพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม  พิพากษาตามการกระทำของเขาทุกคน  คุณลองคิดดูสิว่า  ใครจะหนีพ้นจากการพิพากษานี้ได้  ไม่มีทางเลย  นอกจาก ...

จงมั่นใจในความรอด



 

"ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น" (1ยอห์น 1:9)

ข้างต้นนี้  เป็นพระสัญญาของพระองค์ที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์  ถ้าคุณได้สารภาพต่อพระองค์แล้ว  ขอให้คุณมั่นใจเถิด  คุณรอดจากบาปแล้ว  คุณรอดจากนรกไปสู่สวรรค์แล้ว  เพราะพระสัญญาของพระเจ้าเป็นความจริง  และพระองค์ไม่เคยโกหก  นอกจากนั้นพระองค์ยังได้สัญญาอีกว่า

"แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า" (ยอห์น 1:12)

ถ้าคุณได้ต้อนรับและเชื่อในพระเยซูแล้ว  บัดนี้  ฐานะของคุณก็เปลี่ยนไป  คุณเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  และคุณก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์หลังจากที่คุณจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน
การที่เราเป็นลูกของพระเจ้านั้นดีอย่างไร ?
ถ้ามีคน ๆ หนึ่ง  มาเคาะประตูที่บ้านผม  เมื่อผมเปิดประตูแล้วถามว่าเขาเป็นใคร  และได้รับคำตอบว่า  เขาเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก  เขาอยากจะมาอาศัยอยู่บ้านผมตลอดชีวิต  คุณคิดว่าผมจะให้เขานอนบ้านผมไหม ? ... ผมคงไม่ให้เขานอนเด็ดขาด
แต่คนที่เป็ฯลูกผมนั้น  เขามีสิทธิ์นอนในบ้านผมได้ตลอดเวลา  นั่นเพราะเขาเป็นลูกของผม  เขาอาศัยสิทธิ์ในการเป็นลูกนอนบ้านผม  ไม่ใช่อาศัยสิทธิ์เป็นคนดีนอนบ้านผม
ดังนั้น  ถึงแม้ลูกผมจะดื้อหรือเป็นอย่างไร  ผมก็ให้เขานอนในบ้านของผมอย่างแน่นอน  แต่คนดี  ถ้าผมไม่รู้จัก  ต่อให้เขาดีแค่ไหน  ผมก็ไม่ให้เขานอนในบ้านของผมอย่างเด็ดขาด
เช่นเดียวกัน  เมื่อคุณเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  หรือเป็นลูกของเจ้าของสวรรค์แล้ว  คุณก็มีสิทธิ์นอนสวรรค์ได้หลังจากที่คุณจากโลกนี้ไปแล้ว
ขอให้คุณจำไว้ว่า  คุณอาศัยสิทธิ์ในการเป็นลูก  ไม่ใช่สิทธิ์ในการทำดี  เพราะฉะนั้น  บัดนี้  คุณได้ขึ้นสวรรค์ไม่ใช่เพราะคุณทำดี  แต่เพราะคุณเป็นลูกของเจ้าของสวรรค์
แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไงก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว  คุณก็ดื้อ  คือทำผิดบาปอีก  ก็ขอให้คุณรู้ว่า  พระเจ้าจะทรงตีสั่งสอนคุณอย่างแน่นอน  แต่ไม่ใช่ตีเพื่อให้คุณตาย  แต่ตีเพื่อให้คุณดีขึ้น
เพราะฉะนั้น  ตั้งแต่นี้ต่อไป  เมื่อคุณทำความผิดบาป  จะไม่มีทางเหมือนเดิมอย่างแน่นอน  เพราะบัดนี้  พระเยซูได้เข้ามาในใจของคุณแล้ว  พระองค์จะทำให้คุณยิ่งมา ยิ่งเกลียดความผิดบาป  และพระองค์จะปรับปรุงให้คุณนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ  และทุกครั้งที่คุณพลาดพลั้งหลงไปทำผิดบาป  ก็ขอให้คุณมาขอโทษพระองค์  และขอพระองค์ช่วยคุณอย่าทำผิดอีก
แต่ก่อนคุณมีโรคบาป  การแสดงอาการบาปออกมาก็เป็นเรื่องที่ปกติ 
แต่บัดนี้  พระเยซูได้เอาโรคบาปออกจากชีวิตคุณแล้ว  เพราะฉะนั้นต่อไปนี้  ถ้าคุณทำบาป  แล้วคุณจะรู้สึกว่าผิดปกติทันที  ขออย่าให้คุณตกใจ  เพราะนั่นเป็นเครื่องหมายว่าคุณได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  คุณได้รับความรอดแล้ว  เมื่อทำผิดก็ขอให้คุณมาขอโทษพระองค์  และขอพระองค์ทรงช่วยให้คุณอย่าทำผิดอีก  และพระองค์จะทรงยกโทษ  และช่วยคุณอย่างแน่นอน
และขออย่าให้ความคิดที่ว่า   เมื่อคุณทำบาปแล้ว  คุณไม่ใช่ลูกของพระเจ้าอีกต่อไป  อย่าคิดเช่นนั้นเลย  เพราะไม่มีลูกคนไหนทำผิดแล้วก็คิดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกพ่ออีกต่อไป  เขาก็ยังเป็นลูกอยู่ดี
เช่นเดียวกัน  เมื่อคุณทำบาป  คุณก็ยังเป็นลูกของพระองค์อยู่ดี  และพระองค์ก็พร้อมจะให้อภัยเสมอ  เมื่อคุณมาขอโทษ

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป




ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเหมือน "งูเห่า" (สดุดี 58:3-4) ซึ่งงูเห่านั้นมันมีเชื้อพิษตั้งแต่อยู่ในไข่
แล้วทำไมพระคัมภีร์จึงเปรียบมนุษยดุจงูเห่าล่ะ
ถ้าเราดูงูเห่าเมื่อมันออกมาจากไข่ใหม่ ๆ นั้น ลำตัวของมันจะยาวประมาณ 10 กว่านิ้วเท่านั้น  ซึ่งเวลานั้นมันยังกัดคนไม่ตายและทำอันตรายคนไม่ได้ เพราะต่อมพิษในหัวของมันยังไม่ทำงานและเขี้ยวยังไม่งอก แต่พอหลังจากนั้นเมื่อมันเริ่มโตขึ้น เวลานี้มันเริ่มกัดคนตายแล้ว ซึ่งถ้าเราจะไปบอกงูว่าเห่าว่า "ห้ามมีพิษนะ" คงจะเป็นไปไม่ได้
เช่นเดียวกัน มนุษย์เรา เมื่อออกจากครรภ์ของมารดาใหม่ ๆ ด่าคนก็ไม่เป็น เพราะต่อมบาปยังไม่เริ่มทำงาน แต่พอโตขึ้นมาหน่อยไม่ต้องมีใครมาสอน ก็เริ่มโกหกทะเลาะ ด่าทอเป็นแล้ว นั่นเป็นเพราะ ต่อมบาปมันเริ่มทำงานตามปกติของมันแล้ว นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่ามนุษย์ทำไมจึง ทำบาป ก็เพราะเขามีบาปและเป็นคนบาปเหมือนงูที่มีพิษ เพราะเป็นงูพิษ
ดังนั้น ไม่ใช่มนุษย์ทำบาปแล้วจึงเป็นคนบาป แต่เพราะมนุษย์เป็นคนบาปจึงทำบาป เหมือนงูพิษ ไม่ใช่กัดคนตายแล้วมันจึงมีพิษ แต่เพราะมันมีพิษมันจึงกัดคนตาย
การติดเชื้อบาปของมนุษย์เหมือนกันการติดเชื้อเอดส์จากมารดาไปสู่เด็กในครรภ์ ซึ่งเขาไม่อยากมีโรคนี้ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
เวลานี้มนุษย์ทุกคนเปรียบเสมือนคนที่มี โรคมะเร็งกระจายอยู่ทั่วตัว คนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นไม่อยากปวดก็ต้องปวด ถึงแม้เราจะไป บอกเขาว่า "อย่าปวด" "ห้ามปวด" แต่ยังไงเขาก็ต้องปวดอยู่ดี
เช่นเดียวกัน มนุษย์เรามีโรคบาป ดังนั้น ถึงแม้เขาไม่อยากแสดงอาการบาป เขาก็ต้องแสดงอาการบาปออกมา ถึงจะบอกเขาว่า "อย่าทำบาป" "ห้ามทำบาป" เขาก็ยังต้องทำอยู่ดี
ดังนั้น  จึงเป็นเหตุที่ทำให้
... เรารู้ว่าโกหกไม่ดี เราไม่อยากคบกับคนโกหก แต่เราก็โกหก
... เรารู้ว่าโลภไม่ดีแต่เราก็โลภ
... เรารู้ว่าหยิ่งจองหองไม่ดี แต่เราก็หยิ่งจองหอง
... เรารู้ว่าทะเลาะวิวาทไม่ดี แต่เราก็ทะเลาะวิวาท
... เรารู้ว่าลามกไม่ดี แต่เราก็ลามก
... เรารู้ว่าทำให้พ่อแม่เสียใจไม่ดี เถียงพ่อแม่ไม่ดี แต่เราก็ทำ
และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ว่าไม่ดี เราไม่อยากทำ แต่เราก็ทำ
"เราจะรอดพ้นจากโรคบาปนี้ได้หรือ"


พระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน?



หากท่านเคยคิดว่าตนเองไม่มีความสำคัญ ลองฟังความจริงนี้ก่อน ท่านคือการทรงสร้างที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ใครเหมือน แม้แต่แฝดเหมือนที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ในโลกใบนี้ไม่มีใครจะเหมือนท่านอีกแล้ว แต่ก็ยังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก คือ พระเจ้าทรงเห็นว่าท่านมีค่า และได้จ่ายด้วยราคาแพงมากเพื่อสำแดงความรักต่อท่าน พระเยซูทรงรักท่านมากจนยอมประทานชีวิตของพระองค์เองเพื่อท่านถ้าท่านจะถามแม่ที่รักลูก และมีลูกหลายคนว่า ในบรรดาลูกทั้งหมดของเธอ เธอจะยอมสูญเสียลูกคนไหน คำตอบที่ท่านจะได้จากคุณแม่คนนี้คือ เธอจะไม่ยอมเสียลูกคนหนึ่งคนใดของเธอไป และนั่นคือภาพหรือความรู้สึกเดียวกันกับความหวงแหนและความห่วงใยที่พระเจ้ามีต่อท่าน
หากท่านกำลังถูกทดลองให้สงสัยว่า พระเจ้าจะรู้ไหมว่า มีท่านอยู่ในโลกใบนี้? ทรงสนพระทัยไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน? จงระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อท่านบนไม้กางเขน แล้วท่านจะรู้ว่าทรงรักท่านมากแค่ไหน?
เรามั่นใจในความรักที่ไม่มีวันสูญสิ้นของพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงพิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ความรักของพระองค์นั้นแน่นอน พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคนราวกับว่าทรงมีเราเพียงคนเดียวให้รัก

เยเรมีย์ 31:3
3 พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า 'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป

โรม 5:8
8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา 


พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ







พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ

สดุดี บทที่ 23 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่อ่านแล้วแสนจะอุ่นใจ

เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอ ปกป้องตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาใครสักคน... พระคัมภีร์ตอนนี้คอยเตือนผมเสมอ..ว่า... เราทุกคนนั้นก็เหมือนแกะ

แกะ...เป็นสัตว์อ่อนแอ...สายตาสั้น...เชื่องช้า
แกะ...ไม่ค่อยฉลาด (เข้าข่ายโง่) อยู่ในช่วงปลายๆของห่วงโซ่อาหาร คือเป็นอาหารของสัตว์อื่น (รวมถึงมนุษย์ด้วย)
แกะ...สุขภาพไม่แข็งแรง... ต้องการหญ้าอ่อนสด เป็นอาหาร...ต้องการน้ำสะอาดใสเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
แกะ...ขี้ตกใจ ตื่นตูมมากกว่ากระต่าย หากมีอะไรให้ตกใจสุดขีด พาลจะหัวใจวายเอาซะง่ายๆ
แกะ...ไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย ชอบนอนเงียบๆ เป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้
แกะ...จะปลอดภัยก็ต่อเมื่อ มีผู้เลี้ยงแกะอยู่ใกล้ๆ